วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Review point

ARTICLES
A AN THE (-) ไม่มี articles

หลักการใช้ article นำหน้านาม
คือเมื่อกล่าวเป็นการทั่วไปนามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำหน้าเสมอ
นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใด ๆ เมื่อกล่าวเป็นการชี้เฉพาะจะต้องใช้ the นำหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นนามนับได้หรือไม่ได้

Articles แบ่งเป็น 2 ชนิด
Indefinite Article ได้แก่ a และ an ใช้นำหน้านามนับได้ (Countable Nouns) เอกพจน์ทั่ว ๆ ไป (Singular)
Definite Article ได้แก่ the ซึ่งใช้นำหน้าคำนามนับได้ (Countable Nouns) และนามนับไม่ได้ (Uncountable Nouns) ทั้งรูปเอกพจน์ (Singular) และพหูพจน์ (Plural) เพื่อให้นามนั้นมีความหมายเฉพาะเจาะจง
การใช้ Indefinite Article : a, an
1. ใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและมีความหมายทั่วไปในความหมาย หนึ่ง โดยไม่ต้องการเน้นจำนวน เช่น a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop เช่น
He is reading a newspaper. เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์
2. ใช้ an นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ขึ้นต้นด้วยสระ และมีความหมายทั่วไป เช่น an orange , an umbrella, an hour, an article
It's raining.You will need an umbrella .ฝนกำลังตก คุณจะต้องมีร่มกันฝน.
หมายเหตุ
ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นขึ้นต้นด้วยสระ แต่ว่าออกเสียงเป็นพยัญชนะ ให้ใช้ a เช่น a uniform, a university, a European, a eucalyptus ( ต้นยูคาลิบตัส ), a utensil, a union, a useful, a unit
ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นมีคุณศัพท์นำหน้าขยาย ให้ดูดังนี้
-หากคำคุณศัพท์นั้นขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะก็ให้ใช้ a เช่น a sweet orange, a big umbrella
-หากขึ้นต้นด้วย เสียงสระให้ใช้ an เช่น an old city, an ugly เป็นต้น
ถ้าคำนามนั้นขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นสระ หรือมี adjective ที่ขึ้นต้นด้วยสระมาขยายข้างหน้านามนั้นให้ใช้ an เช่น
-ออกเสียงเป็นสระ เช่น an hour, an heir, an honor
-มีคุณศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ เช่น an important person
3. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ เมื่อกล่าวถึงคำนามนั้นเป็นครั้งแรก เช่น
There is a shop on the corner. มีร้านอยู่ 1 ร้านที่หัวมุม (ใช้ a เพราะเป็นการพูดถึงครั้งแรก )
4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ่ม หมู่เหล่า เช่น
A cow is an animal. วัวเป็นสัตว์ขนิดหนึ่ง = Cows are animals.วัวเป็นสัตว์
An owl can see in the dark. นกเค้าแมวมองเห็นได้ในความมืด
5. ใช้ a, an ในการบอกอัตราต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น
She runs three miles a day. เธอวิ่งวันละ 10 ไมล์ (เป็นกิจวัตร)
I go to the cinema about once a month. ฉันไปดูภาพยนต์ประมาณเดือนละครั้ง
6. ใช้ a, an หน้าชื่อเฉพาะของผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักทั่วไป เพราะมีคุณสมบัติ ความสามารถ หรืออุปนิสัยเหมือนผู้ที่ต้องการเปรียบเทียบ
He is an Einstein. เขาเป็นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์
He is a Soontorn Poo of our school. เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่ง (เหมือนสุนทรภู่) ของโรงเรียนเรา
หมายเหตุ
แต่ถ้าใช้ the แทน a หมายความว่าคนเช่นนั้นมีคนเดียว
He is the Soontorn Poo of our school. เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่งของโรงเรียนเรา (เพียงคนเดียว)
He is the Khun Phaen of our family. เขาเป็นคนเจ้าชู้ (เหมือนขุนแผน) คนเดียวในครอบครัวเรา
7. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่เป็นสำนวนในประโยคอุทาน เช่น
What a pity !น่าสงสารจัง What a shame ! น่าอายจัง !
8. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่กล่าวถึงการเป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
My father is a teacher. อาชีพ , Robert is an American. เชื้อชาติ , John is a Catholic. ศาสนา
9. ใช้ a, an แทนจำนวน หนึ่งหน้าคำนามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการนับจำนวนหรือแสดงจำนวนมาก
a dozen of eggs.ไข่จำนวน 1 โหล
a gross of pens ปากกาจำนวน 12 โหล
a lot of people ประชาชนจำนวนมาก a number of friendsเพื่อนจำนวนมาก
10. ใช้ a, an นำหน้านามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย โครงสร้างคือ have + a+ อาการเจ็บป่วย
have a headache (ปวดหัว)
have a pain in the chest (เจ็บหน้าอก)
have a stomachache (ปวดท้อง)
have a cold (เป็นหวัด)
have a toothache ไม่มี a ก็ได้ (ปวดฟัน)
have a fever (เป็นไข้)
ยกเว้นถ้าเป็นชื่อโรค ไม่ใช้ a, an เช่น
Rheumatism (โรคปวดข้อ) , diabetes (เบาหวาน) , influenza (ไข้หวัดใหญ่) , cancer (มะเร็ง) เช่น
He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันที่กลางหลัง
He had a pain in the neck. เขามีอาการปวดคอ
She is suffering from rheumatism. เธอกำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคปวดข้อ

Articles - the
The เป็น article ที่เมื่อใช้นำหน้านามทั้งนับได้ นับไม่ได้ เอกพจน์ หรือพหูพจน์แล้ว จะทำให้นามนั้นมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจงทันที มีหลักสำคัญดังนี้
ใช้ The นำหน้านามเอกพจน์และพหูพจน์ที่ชี้เฉพาะเจาะจง เนื่องจากมีข้อความประกอบอยู่ ข้อความที่ประกอบอาจนำหน้าด้วย in, at, on หรือ preposition ,วลี (phrase) , หรืออนุประโยค (clause) อื่น ๆ เช่น
Tom sat down on a chair. ทอมนั่งลงบนเก้าอี้ (ซึ่งอาจจะมีหลายตัวในห้องนั้น)
Tom sat down on the chair nearest the door. ทอมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด (เฉพาะเจาะจง)
Ann is looking for a job. แอนกำลังหางานทำ (เป็นการพูดไม่เฉพาะเจาะจง)
Did Ann get the job she applied for? แอนได้งานที่เธอไปสมัครไว้หรือไม่ (เฉพาะเจาะจง)
The man who wrote this book is famous. ผู้ชายที่เขียนเรื่องนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียง (เฉพาะเจาะจง)
ใช้ The หน้านามซึ่งชี้เฉพาะโดยปริยายเนื่องจากผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่าหมายถึงสิ่งไหน หรือพูดถึงบุคคลใด เช่น
Have you got a car ? คุณมีรถหรือไม่ (ใช้ a เพราะไม่ระบุเฉพาะเจาะจง)
I cleaned the car yesterday. ฉันล้างรถเมื่อวานนี้ . (ใช้ the ในกรณีผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่าหมายถึงรถของผู้พูด)
The house needs to be painted. บ้านนี้ควรจะทาสีใหม่ได้แล้ว (ใช้ the house ในกรณีที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจตรงกันว่าเป็นบ้านหลังไหนถึงแม้จะเป็นการพูดถึงครั้งแรก อาจจะกำลังพูดในบ้านหลังนั้นก็ได้ )
I would like a glass of water, please. John said. จอห์นพูดว่าขอน้ำผมสักแก้วได้ไหม
I put the glass of water on the counter already. Jane said. เจนตอบว่า ฉันเอาแก้วน้ำวางให้บนเคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: